รีวิว Blue Jay (2016)
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
ดูไปดูมาหนังเรื่องนี้ทำเอาผมน้ำตาไหลครับ ไม่นึกเหมือนกันว่ามันจะทำให้เราน้ำตาหยดได้ คือไม่ถึงกับไหลพรากๆ น่ะนะครับ แต่มันเหมือนเราอินอยู่ลึกๆ แล้วพอถึงนาทีตอนท้ายๆ ที่ตัวละครเริ่มน้ำตาไหล เราก็ไหลไปกับพวกเขาด้วย
มันไม่ได้ไหลอันเนื่องจากความเศร้าหรือสุขล้น แต่มันไหลเพราะเราได้รับรู้เรื่องราวของพวกเขา เรื่องราวที่มันเป็น “ชีวิต” แบบที่ผสมเคล้ากันทั้งสุขและเศร้า สมหวังและผิดหวัง จนอดไม่ได้ที่จะอินไปกับเรื่องราวน่ะครับ
โอเค เล่าก่อนว่าตอนแรกผมเลือกดูหนังเรื่องนี้เพราะพล็อตมันดูจะคล้ายๆ กับ Before Sunrise หรือ Before We Go อันเป็นเรื่องของหนุ่มสาวที่มาพบกัน สานสัมพันธ์กันผ่านบทสนทนาและการอยู่ร่วมกันในวันหนึ่ง
แต่จุดที่ต่างคือตัวเอกในเรื่องเคยเป็นแฟนกันมาก่อนครับ ฝ่ายชายคือ จิม (Mark Duplass) ส่วนฝ่ายหญิงคือ อแมนด้า (Sarah Paulson) พวกเขาเคยรักกัน เป็นแฟนกัน ก่อนจะแยกย้ายกันไปหลายสิบปี แล้วก็มาเจอกันโดยบังเอิญในเมืองบ้านเกิด แล้วความทรงจำกับความรู้สึกหลายๆ อย่างระหว่างกันก็เริ่มทำงานอีกครั้ง
ในเบื้องต้นหนังทำออกมาดีครับ จริงๆ มันมีจุดที่ผมขัดใจระหว่างดูนะ รู้สึกเหมือนมันยังไม่ใช่หรือยังขาดอะไรไป แต่พอดูจบแล้วสิ่งที่ขัดมันก็หายไปหมด จากที่ก้ำกึ่งว่าจะชอบ-ไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็กลายเป็น “ชอบ” แบบเต็มปากเต็มคำครับ ซึ่งเดี๋ยวผมจะมาร่ายละเอียดอีกที
ดังนั้นมันก็จะมีสปอยล์ครับ ถ้าไม่อยากทราบก็หยุดอ่านได้แถวๆ นี้เลย เอาเป็นว่าผมแนะนำหนังเรื่องนี้ครับ ใครชอบหนังแนวนี้ผมอยากให้ลองดู (แนวประเภทเดียวกับหนังตระกูล Before ทั้งหลาย) แต่บอกก่อนว่ามันจะไม่ได้เป็นหนังที่ชวนสดชื่น ชวนฝัน หรือโรแมนติกอะไรเทือกนั้น แต่มันจะออกแนวดราม่าเสียมากกว่าครับ
+++++++++++++++++++
เอาล่ะ สปอยล์มาล่ะนะครับ ก็ต้องขอสปอยล์หน่อย เพราะไม่สปอยล์แล้วมันไม่ครบองค์ครับ
+++++++++++++++++++
ตอนแรกผมขัดใจนิดๆ ที่หนังทำเป็นขาวดำ เพราะแม้ผมจะชอบหนังขาวดำก็เถอะ แต่ในใจก็รู้สึกว่าถ้าถ่ายทอดเป็นสีมันคงดูสวยกว่านี้ และดูดึงดูดกว่านี้ แต่พอดูจนจบก็พบว่าขาวดำมันเหมาะแล้วล่ะครับ เพราะความสัมพันธ์ของจิมและอแมนด้านั้น รวมถึงเรื่องที่ทำให้พวกเขาแยกทางกันนั้น มันไม่ใช่อะไรที่มีสีสันเลยแม้แต่น้อย… ขาวดำเหมือนเป็นการไว้ทุกข์หรือไว้อาลัยให้อะไรบางอย่างนั่นเอง
นอกจากเรื่องสีขาวดำแล้ว อีกอย่างที่ขัดใจผมในตอนแรกคือความสัมพันธ์ของพวกเขา คือยอมรับครับว่าลึกๆ แอบคาดหวังบทสนทนาที่น่าสนใจ บทสนทนาแบบหนังตระกูล Before ทั้งหลายที่ชอบหยิบยกประเด็นต่างๆ มาคุยกัน หรือไม่บทสนทนาก็จะสะท้อนความคิดและตัวตนของตัวละคร มันจะดูมีชีวิตชีวาในระดับหนึ่ง
แต่กับหนังเรื่องนี้ บทสนทนามันดูมีชีวิตแต่ขาดชีวา มันดูแฝงความหดหู่ เจ็บปวด และอัดอั้น เลยทำให้ระหว่างดูมันก็ไม่ถึงกับสนุกสักเท่าไร แต่กระนั้นก็ไม่น่าเบื่อน่ะนะครับ แค่ว่ามันไม่สนุกหรือเพลินดังใจคิดเท่านั้น แต่มันก็ยังมีพลังชวนให้เราติดตามอยู่
ทว่าพอถึงตอนท้าย พอหนังเฉลยว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเคยมีลูกด้วยกันในตอนที่ยังไม่พร้อม และอแมนด้าตัดสินใจทำแท้งเพราะรู้สึกว่าจิมในตอนนั้นยังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่พอ เท่านั้นล่ะครับความอึดอัดที่หนังสร้างมาก็กลายเป็นความสมเหตุสมผลในทันที มันทำให้เข้าใจหมดเลยครับว่าทำไมพวกเขาถึงดูตึงต่อกันอยู่ลึกๆ แต่สีหน้ากลับพยายามยิ้มแบบฝืนๆ มันกระจ่างหมด และทำให้ “ความอึดอัด” ที่มี ผันกลายเป็น “ความเข้าใจ” ในทันที
จุดนี้ขอชม 2 ดาราที่แสดงกันได้เหมาะมากๆ ครับ Paulson แสดงได้ดีเหมือนเคย ส่วน Duplass ก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน (แต่รัศมีของ Paulson จะเปล่งประกายกว่าหน่อยๆ) พวกเขาคุมความตึงระหว่างกันได้ในระดับที่พอเหมาะ คือเราจะสัมผัสได้ แต่จะไม่ถึงกับเห็นชัดเว่อร์อะไร ซึ่งก็แน่นอนว่าต้องเอ่ยชม Duplass ที่รับหน้าที่เขียนบท กับการกำกับที่พอเหมาะของ Alex Lehmann ด้วย
แล้วผมก็มาน้ำตาแตกตอนท้ายน่ะครับ ที่หนังเผยว่าเหตุผลหนึ่งที่ทำให้อแมนด้าทำแท้งและเลิกรากับจิมก็เพราะตอนนั้นจิมส่งจดหมายที่เนื้อหาทำให้เธอรู้สึกว่าเขาไม่พร้อมจะเป็นพ่อคนให้ ทว่าอแมนด้าเพิ่งมาค้นพบความจริงว่าจดหมายฉบับนั้นคือจดหมายที่จิมเขียนขึ้นเป็นฉบับที่ 2 ในขณะที่ฉบับแรกที่จิมเขียนไว้แต่ไม่เคยส่งน่ะ มันเต็มไปด้วยความรู้สึกและ “ความพยายาม” ที่จะรับผิดชอบเธอและลูก… แต่เขากลับไม่กล้าส่งมัน ได้แต่ส่งฉบับที่ 2 ที่ดูเบาๆ บ้าๆ ไปแทน
น้ำตาไหลครับ… มันเหมือนเล่นกับคำว่า What If น่ะ ถ้าตอนนั้นจิมตัดสินใจส่งจดหมายฉบับแรกไป มันจะเป็นยังไง… มันสะท้อนถึงเรื่องโอกาสที่หลุดลอยได้อย่างถึงอารมณ์ทีเดียวครับ
สรุปว่าผมชอบเลยครับเรื่องนี้ มาชอบเมื่อดูจบและได้รับรู้เรื่องราวแบบครบองค์นี่แหละ และนอกจากดาราดีๆ กับเนื้อเรื่องดีๆ แล้ว ภาพจริงๆ ก็สวยครับ พวกภาพธรรมชาติที่ถูกนำเสนอในแบบขาวดำ มันก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ (แต่ก็ยังแอบคิดอยู่ว่าถ้าทำเป็นสี มันก็คงสวยมากๆ… แต่กับเรื่องราวในหนัง ทำเป็นขาวดำแหละเหมาะสมแล้วครับ)
เอาเป็นว่าหนังชวนให้นึกถึง Before Sunset กับ Before Midnight ครับ ใครชอบสไตล์นี้ก็อยากให้ลองชมกันครับ
คะแนนความชอบ 7/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว From Vegas to Macau III (2016) โคตรเซียนมาเก๊า เขย่าเวกัส 3
1783 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด จบครบไตรภาคจนได้ครับสำหรับหนังชุดนี้ ซึ่งภาคแรกผมว่ายังโอเคนะ ทำออกมาสนุกในระดับกลางๆ แต่พอมาภาค 2 นี่ออกแนวเลอะซะเยอะ เนื้อเรื่องจริงๆ มันเหมือนจะมีอะไรอยู่ไม่น้อย แต่ดันเล่าให้มันไม่มีประเด็นไปซะงั้น และเน้นมุกขำที่บางทีก็ไม่ค่อยขำซะครึ่งค่อนเรื่อง ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Standoff (2016) ล่าไม่ให้รอด
1695 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ถ้าว่ากันโดยพล็อตแล้วถือว่าน่าสนใจนะครับ สไตล์เรื่องมันออกแนวแอ็กชันแบบระทึกขวัญในสถานที่จำกัด ตัวละครก็ไม่เยอะ มาคอยหักเหลี่ยมหักเล่ห์กัน โดยฝ่ายหนึ่งเป็นคนดี (แต่มีอดีต) กับอีกฝ่ายหนึ่งที่มาเพื่อล่าและฆ่าโดยเฉพาะ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Focus (2015) โฟกัส เกมกล เสน่ห์คนเหนือเมฆ
2574 0สรุปคร่าวๆ แล้ว Focus มีส่วนที่ผมชอบมากกว่าส่วนที่ผมเฉยครับ ว่าง่ายๆ คือดูแล้วก็เพลินและบันเทิงในระดับหนึ่ง ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด