รีวิว Jim & Andy: The Great Beyond (2017) จิมและแอนดี้ (ตอนที่ 2)
https://www.youtube.com/watch?v=5jIqkX9a6Ak
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
ถึงจุดนี้ผมชื่นชมทีมงานของหนังเรื่องนี้แบบทั้งกองเลยครับ เพราะพวกเขาทุ่มใจกันทำจริงๆ แม้การทำงานมันอาจจะมีอะไรให้หงุดหงิดใจอยู่บ้าง หรือการเป็นแอนดี้แบบเต็มร้อยของ Carrey จะทำให้คนเกิดความขุ่นเคืองอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เดินหน้าทำด้วยกันจนเสร็จ และทำงานต่อไปด้วยความเข้าใจ (เพราะถ้าไม่เข้าใจล่ะก็ คงมีเรื่องกันถึงขั้นทำงานต่อกันไม่ได้แล้วน่ะครับ)
หนังเรื่องนี้เป็นสารคดีที่ทำให้เรารู้เบื้องลึกเบื้องหลังของหนัง Man on the Moon (ซึ่งการได้เห็นความทุ่มเทของทุกภาคส่วนแล้ว ทำให้ผมชอบหนังเรื่องนี้มากขึ้นไปอีกครับ) แล้วก็รู้จักแอนดี้ คอฟแมนมากขึ้น และนอกจากนี้หนังยังบอกเล่าชีวประวัติของ Jim Carrey ด้วยครับ
สำหรับผมแล้ว มันเป็นอะไรที่เลอค่ามากนัก เพราะเราได้รู้จักตัวตนของ Carrey ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันว่าเขาผ่านอะไรมาบ้าง และที่สำคัญคือการสวมบทแอนดี้ ทำให้เขาพบจุดเปลี่ยนอย่างไรในชีวิต อันทำให้ผมได้พบคำตอบต่อคำถามที่มีในใจผมมาตลอดว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคุณครับ Jim?”
พอดูจบแล้วผมเข้าใจเลยนะ คือมันกลายเป็นว่าการแสดงเป็นแอนดี้ทำให้ Carrey ได้ค้นพบความจริงหลายๆ อย่าง ทำให้เขาเข้าถึงสารพัดนิยามของคำว่า “ตลก” ที่มันมีหลายมิติและหลายระดับเหลือเกิน มันเหมือนเขาไปถึงยอดเขาเอเวอเรสที่ดาราตลกหลายคนอาจไม่เคยไปถึง ผ่านการแสดงครั้งนั้น
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจคือ ตลอดเวลาที่ Carrey เป็นแอนดี้ เขาก็จะเหมือนเป็นแอนดี้จริงๆ และบางช่วงเขาก็วิพากษ์ Jim Carrey แบบตรงๆ ว่าหมอนี่เป็นคนแบบไหน ต้องการอะไร จุดอ่อนคืออะไร คือถ้ามองในบางมุมมันอาจดูเหมือนบ้าน่ะนะครับ แต่ผมกลับมองว่า Carrey ใช้ความเป็นแอนดี้ (รวมถึงโทนี่) มาสำรวจตนเอง
ผมเชื่อว่าบางครั้ง Jim Carrey ก็นั่งคุยกับแอนดี้ คอฟแมนในร่างของเขาน่ะครับ (หรือไม่ก็นั่งให้โทนี่ คลิฟตันด่า) และจุดเปลี่ยนที่เขาเจอก็คือสิ่งเหล่านี้นี่แหละครับ สิ่งนี่แหละที่ทำให้ Jim Carrey หลังจากปี 1999 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
มันเหมือนเขาเดินผ่านประตูแห่งชีวิตบานหนึ่งมาน่ะครับ มันคือประตูที่เขาไม่อาจย้อนกลับไปได้ เขาได้ค้นพบบางสิ่งที่น้อยคนจะเข้าใจ และตัวเขาเองก็อาจจะยังไม่เข้าใจมันด้วยซ้ำ แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเขาก้าวข้ามประตูมาแล้ว เหมือนเมล็ดพันธุ์ที่โตขึ้นเป็นต้นแล้ว ย่อมไม่สามารถย้อนคืนกลับเป็นเมล็ดเดิมได้อีก
หากผมต้องอยู่ในสภาวะเดียวกับเขา ผมเองก็คงปฏิบัติตัวไม่ถูกเหมือนกันน่ะนะครับ เหมือนเรารู้และเข้าใจอะไรหลายอย่าง และเกิดคำถามต่อมาอีกหลายอย่าง แต่เราก็ไม่รู้จะยังไงต่อ เพราะบางทีความเข้าใจที่ผุดขึ้นในหัวเรา (ไม่ว่าจะเกิดจากการตกผลึก จากประสบการณ์ หรือจากการคิด) กับ “ปกติวิสัยของโลก” มันก็ขัดแย้งกันเหลือเกิน
ผมรู้สึกเห็นใจ Jim Carrey อยู่เหมือนกันครับ ในแง่หนึ่งสิ่งที่เขาได้มาก็คือการเปิดโลก มันอาจเป็นคำตอบที่เขารอมานานในฐานะนักแสดงตลกคนหนึ่งก็ได้ ซึ่งเขาก็เหมือนได้แอนดี้ คอฟแมนมาเป็นครูให้ แต่อีกแง่หนึ่งก็ทำให้เขามีช่องว่างเกิดขึ้นครับ ช่องว่างระหว่างตัวเขากับโลกใบนี้ ช่องว่างระหว่างวิถีที่เขาพบกับวิถีที่โลกเป็น ช่องว่างระหว่างการเป็นตัวของตัวเองกับการเป็นคนของสังคม ที่ต้องแสดงหรือทำตนในแบบที่คนดูคาดหวัง
การดูสารคดีนี้ก็ชวนให้เราย้อนดูตนเองครับ ผมเชื่อว่าเราทุกคนล้วนต้องเจอกับประสบการณ์ที่เปลี่ยนชีวิต ที่เปิดมุมคิด หรือพลิกโลกทั้งใบที่เราเคยรู้จัก ซึ่งมันอาจเป็นประโยชน์และทำให้เราเข้าใจอะไรต่างๆ ได้อย่างชัดเจนขึ้น แต่ขณะเดียวกันสิ่งที่เราเข้าใจนั้น คนรอบข้างอาจไม่เข้าใจก็ได้ และมันอาจกลายเป็นจุดเริ่มของ “ช่องว่าง” ก็ได้เหมือนกัน
มันเป็นเรื่องย้อนแย้งที่น่าขันอยู่ในที บางทีการเข้าใจโลกแบบที่มันเป็น มันเหมือนจะเป็นเรื่องดี แต่เรากลับต้องพยายามทำเป็นลืมๆ ทำเป็นยอมๆ “กระแสสังคม” เอาแค่เรื่องง่ายๆ อย่าง “การโกหก” ที่เรามักถูกสอนว่ามันไม่ดีอย่างไร แต่เอาเข้าจริงหากเราจะใช้ชีวิตให้อยู่รอดในบางสถานการณ์เราก็ต้องยอมโกหก… ผมเชื่อว่าท่านคงพอนึกภาพออกน่ะนะครับ มันคือความย้อนแย้งที่จริงๆ คนทั้งหลายก็ใช่จะไม่รู้นะ แต่พวกเราเลือกที่จะเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ ยอมให้โลกมันหมุนต่อไปด้วยคำลวง ความเท็จ การเสแสร้ง ตีสองหน้า ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ หรือการทำดีเพื่อหวังผล… บางทีเรารู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่เราก็ใส่หน้ากากเข้าหากัน…
บางทีสิ่งที่แอนดี้ทำ ก็เป็นการทำเพื่อ Break อะไรบางอย่างในใจคนดู ทำให้คนดูรู้สึก ฉุกคิด หรือทบทวนสิ่งต่างๆ ทำให้คนดูเห็นความน่าขันของสิ่งที่คนในสังคมชอบทำตามๆ กัน เราอาจมองว่าแอนดี้คือนักแสดงตลกสุดเพี้ยน แต่ผมว่าแอนดี้เองอาจจะมองสิ่งที่พวกเราทั้งหลายทำกันอยู่ทุกวี่วัน มองว่าเราเป็นตัวตลกที่น่าขันเสียยิ่งกว่าการแสดงเพี้ยนๆ แปลกๆ ของเขาเสียอีก
โดยรวมแล้วนี่ถือเป็นสารคดีที่ทำออกมาได้ดีครับ ดูแล้วรู้จักแอนดี้มากขึ้น รู้จัก Jim Carrey มากขึ้น และยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือประเด็นชวนคิดที่สอดแทรกอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งผมบอกได้เลยว่านี่เป็นสารคดีที่มีเมล็ดพันธุ์ทางความคิดและมุมคิดที่อุดมมากเรื่องหนึ่งทีเดียว
คุ้มค่าแก่การดู โดยเฉพาะแฟนตัวจริงของ Jim Carrey ครับ
คะแนนความชอบ 8/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Little Evil (2017)
1634 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ผมมองหนังเรื่องนี้ใน 2 มุมครับ มุมแรกคือมองในเชิงหนังตลกล้อเลียน ซึ่งดูก็รู้ครับว่าหนังจงใจทำออกมาล้อ The Omen แหงมๆ ส่วนอีกมุมก็คือมุมสาระที่ชวนให้สะกิดใจสำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ (ทั้งพ่อแม่แท้และพ่อแม่เลี้ยงน่ะครับ) ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Counselor (2013) เดอะ เคาน์เซเลอร์ ยุติธรรม อำมหิต
2278 0The Counselor เป็นหนังที่ทีมดารานี่เกรดเอบ วกเลยครับ (Michael Fassbender, Penélope Cruz, Cameron Diaz, Javier Bardem และ Brad Pitt) อีกทั้งผู้กำกับจริงๆ ก็เกรดเอไม่น้อยหน้ากัน (Ridley Scott) ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด แต่ผลลัพธ์สุดท้ายที่ได้มา กลับไม่น่าจดจำถึงขนาดนั้น ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Knight of Cups (2015) ผู้ชาย ความหมาย ความรัก
1642 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ถือเป็นหนังที่ “ต้องดู” สำหรับบางคน และสำหรับ (อีก) บางคนแล้ว หนังจัดว่า “ไม่ควรดูอย่างยิ่ง” เพราะดูแล้วอาจมึน งง ตามด้วยความสงสัยว่านี่ฉันเสียเวลาเกือบ 2 ชั่วโมงไปเพื่ออะไรฟะเนี่ย เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม? ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด