รีวิว Saw (2004) ซอว์ เกมต่อตาย… ตัดเป็น
จากหนังสั้น 9 นาทีครึ่งภายใต้การกำกับของ James Wan และบทที่ร่วมกันคิดกับ Leigh Whannell ทำให้สตูดิโอ Lions Gate สนใจบทหนังเรื่องนี้ครับ กับผลงานกระชากขวัญที่ถือว่าเปิดศักราชหนังสยองยุคใหม่ขึ้นอีกระลอก กับเรื่องราวที่มีครบทั้งความโหด ความสยอง การใช้สมอง และการหักมุม
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
เรื่องราวของ Saw เริ่มเมื่อ อดัม (Leigh Whannell) และ ดร. ลอว์เรนซ์ กอร์ดอน (Cary Elwes) ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองอยู่ในห้องโทรมๆ สุดสกปรก ที่นั่นมีศพๆ หนึ่งกองอยู่กลางห้อง แล้วไม่นานพวกเขาก็พบว่า ฆาตกรต่อเนื่องฉายาจิ๊กซอว์เป็นผู้จับเขาทั้งสองมา และมันต้องการจะเล่นเกมกับพวกเขา… เกมที่จะทำให้พวกเขาตระหนักว่าชีวิตนั้นมีคุณค่ามากขนาดไหน!
Saw กลายเป็นหนังสยองยอดฮิตขึ้นมาในบัดดลซึ่งไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแต่อย่างใดครับ เพราะหนังมันมีดีจริงๆ อย่างแรกคือการเดินเรื่องที่ชวนติดตามตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ชั้นเชิงการเล่าเรื่องก็ดึงความสนใจเราได้ตลอด เปิดมาก็ทำให้เรางุนงงก่อนครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสองตัวเอก ก่อนจะค่อยๆ เผยคำตอบ ขณะเดียวกันก็โปรยประเด็นชวนสงสัยให้เราตามลุ้นต่อไปอีก แล้วยิ่งการเล่าเรื่องแบบนี้มาเจอกับการนำเสนอที่ฉับไว (แต่ดูแล้วไม่งง) ก็ยิ่งเร้าอารมณ์และเร้าใจคนดูมากขึ้นไปอีก
จุดดีต่อมานักแสดงที่แม้จะไม่ใช่ดาราระดับแม่เหล็ก แต่ทุกเจ้าล้วนเป็นยอดฝีมือ ไม่ว่าจะ Elwes ที่เล่นได้ดีมากๆ (โดยเฉพาะช่วงท้ายครับ เมคอัพใบหน้าได้สุดยอดจริงๆ เห็นแล้วอดสยองตามไม่ได้) ตามด้วย Danny Glover ในบทนายตำรวจเดวิด แท็ปที่หมายมั่นจะตามจับจิ๊กซอว์วายร้ายให้ได้, Ken Leung ดาราเอเซียหน้าคุ้นในบทตำรวจคู่หูของแท็ป, Monica Potter ในบทภรรยาของคุณหมอลอว์เรนซ์ หรือแม้แต่ Whannell คนเขียนบทก็โดดลงมาเล่นด้วย รายนี้ก็มีดีเช่นกัน ทั้งหมดมีส่วนช่วยให้หนังน่าติดตามอีกแรงหนึ่ง
ไหนจะดนตรีที่เร้าอารมณ์อย่างได้ผล โดยเฉพาะธีม Hello Zepp ที่ประพันธ์โดย Charlie Clouser, ลีลามุมกล้องที่เร้าอารมณ์คนดู ยิ่งตอนทำมุมฉวัดเฉวียนเหวี่ยงๆ หวือๆ นี่ก็ยิ่งเพิ่มอารมณ์ตื่นเต้นได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ ต้องเรียกว่าหนังครบเครื่องจริงๆ ทั้งดาราดี ดนตรีเร้า มุมกล้องก็ระทึก หลายฉากก็น่ากลัวสุดขีด เสียวไส้เอาเรื่อง (โดยเฉพาะฉากเกี่ยวกับ “เลื่อย” ในตอนท้ายนั่น) ด้านบทก็ซับซ้อน การทิ้งปมก็พอเหมาะ ไหนจะการหักมุมพร้อมบทสรุปที่ “ไม่เป็น Hollywood เท่าไร” อีก แหม ผมดูรอบแรกก็ชอบเลยครับ ครั้นมาดูอีกความอร่อย ความตื่นเต้นก็ยังไม่หนีไปไหน ไปๆ มาๆ การได้รู้อะไรก่อนแล้วมันชวนให้เราสังเกต แล้วก็ดูหนังสนุกขึ้นไปอีกแน่ะ
อีกสิ่งหนึ่งที่หนังทำสำเร็จคือการสร้างคาแรคเตอร์ของ จิ๊กซอว์ให้เป็นที่จดจำ มันไม่ใช่แค่ฆาตกรสวมหน้ากาก ไม่ใช่วิญญาณร้าย ไม่ใช่ตัวประหลาด แต่จิ๊กซอว์คือคนที่มีเลือดเนื้อ และมีความฉลาดแบบสุดๆ แล้วก็มีความต้องการจะ “สอน” ให้คนทั้งหลายได้ตระหนักถึงความสำคัญของคุณค่าชีวิต สอนให้คนที่ไม่เคยสนใจคนรอบตัว ไม่เคยถนอมนาทีอันมีค่าของการมีลมหายใจ ให้ได้เข้าใจถึงสิ่งเหล่านั้นบ้าง เพียงแต่อาจจะเป็นการสอนที่นองเลือดไป (ไม่) หน่อยน่ะครับ
Saw สามารถยกระดับตัวเองออกจากหนังประเภทไล่ฆ่าแบบเดิมๆ ที่ไม่ค่อยจะสนเรื่องเหตุผล ไม่เน้นบทที่เข้มข้น เอาแต่จะเน้นขายหนุ่มหล่อสาวสวย ความรุนแรงกับฉากอย่างว่า จริงครับที่ Saw มีความรุนแรงเยอะมาก แต่ถ้าถอดความรุนแรงออกจากสมการแล้วดูที่เนื้อหาสาระ ก็จะพบว่าหนังเรื่องนี้นอกจากจะจัดหนักเรื่องความน่ากลัวแล้ว ด้านสาระแง่คิดก็ไม่ละเลยเหมือนกัน
หนังทำการพลิกขนบเดิมๆ ของหนังไล่ฆ่าที่มักจะมีตัวร้ายเป็นพวกโรคจิตที่มีปมเลวร้ายในใจ เลยแสดงออกมาเป็นความรุนแรงออกแนวล้างแค้นล้วนๆ เดินหน้าฆ่าลูกเดียวเพื่อสนองตนเอง แต่กับหนังเรื่องนี้ Wan และ Whannell ได้สร้าง “จิ๊กซอว์” ฆาตกรต่อเนื่องที่มีปมทางจิตก็จริง แต่เขาไม่ได้ลงมือฆ่าคนเพื่อความสะใจ ทว่าเขาเป็นคนที่ “เห็นค่าชีวิตเมื่อสาย” หลังจากคิดได้และผ่านเรื่องเลวร้ายมา เขาเลยคิดอยากย้อนมาสอนคนอื่นๆ ทีนี้การจะสอนแบบนุ่มๆ เดินไปบอกดีๆ คนก็คงไม่ค่อยจะสนใจ เขาเลยเลือกทื่จะสอนแบบจัดหนัก เอาให้ทั้งคนที่โดนสอนและคนที่ได้อ่านพาดหัวข่าวเรื่องราวของเขาได้เข้าใจรู้ซึ้งกันไปข้างหนึ่งเลย
นอกจากนี้การลงมือฆ่าของเขาก็ยังเป็นการกระตุ้นแบบอ้อมๆ ให้คน “ตื่น” มารักชีวิต ใช้มันให้คุ้มเสียที เพราะชาวเมืองไม่มีวันรู้หรอกว่า “ความตาย” (หรืออีกนัยหนึ่งก็คือตัวจิ๊กซอว์เอง) จะแวะมาเยี่ยมเยียนเมื่อไร
จิ๊กซอว์ ก็คือตัวแทนของความตาย อุบัติเหตุ เภทภัย โรคร้าย หรือสิ่งหายนะทั้งมวลที่อาจเกิดกับทุกคนได้ทุกเมื่อครับ จะว่าไปแล้วสำหรับภาคแรก คอนเซปต์ของจิ๊กซอว์ยังค่อนข้างมีทิศทางที่น่าสนใจ เพราะเขาจะเลือกเล่นเกมกับคนที่ไม่รักชีวิต ไม่ว่าจะพวกที่คิดฆ่าตัวตาย พวกติดยา หรือไม่ก็พวกนอกใจครอบครัว ไม่ได้ฆ่าดะเอาสนุก และจริงๆ พี่แกก็มอบโอกาสรอดให้กับเหยื่อทุกครั้ง (เหมือนอย่างที่เขาบอกน่ะครับว่า “ไม่เคยฆ่าใครสักหน่อย แค่ปล่อยไว้ในกับดักเท่านั้น”)
นอกจากนี้ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าหนังแอบสอดสาระสำคัญที่สุดไว้ท่ามกลางเรื่องราวโหดๆ และกับดักสุดตื่นเต้น…. สติไงครับ จะเห็นได้ว่าหลายครั้งถ้าเหยื่อใจเย็น มีสติ โอกาสรอดย่อมมี แต่หากลืมตัว สติแตกเมื่อใดอันตรายก็จะยิ่งทวีคูณเท่านั้น
Saw สามารถจับประเด็นมาย้อนสอนเราได้หลายอย่างเหมือนกันครับ อย่างการทำอะไรใจเย็นๆ มีสติ เจอปัญหาก็ค่อยๆ ลงมือแก้ไข อย่าใช้อารมณ์ อย่าปล่อยให้พลังแห่งสติแตกมากุมชะตาหรือนำพาให้ชีวิตเข้ารกเข้าพง
ถ้าเรามีสติ หมั่นรอบคอบและตรวจสอบชีวิตตนเสมอว่า เราใช้ชีวิตดีหรือยัง เราทำสิ่งที่ถูกหรือผิดอยู่ ทบทวนมันให้ดี คิดพิจารณาอีกครั้ง นอกจากมันจะทำให้เราสร้างชีวิตที่ดี ใช้ชีวิตที่คุ้มได้แล้ว ยังทำให้เราห่างไกลจากอันตรายได้มากเท่านั้น
เหยื่อหลายรายหากตรวจสอบชีวิตตน ไม่ทำผิด ก็คงไม่ต้องเจอกับความตายหรือตัวแทนความตายอย่างจิ๊กซอว์ ที่พูดนี่ก็เชิงเปรียบเปรยนะครับ ไม่ได้จะบอกว่าพี่จิ๊กแกทำถูก เพราะยังไงการลงมือทำร้ายคนก็ไม่ใช่อะไรที่เหมาะอยู่ดี คิดเสียว่าหนังสะท้อนมุมให้เรามองก็แล้วกัน
ความดีของหนังก็ต้องยกให้คู่ซี้ Wan และ Whannell ครับที่สร้างสรรค์บทนี้ออกมา ฉากน่ากลัวส่วนมากก็นำมาจากภาพฝันสยองหรือไม่ก็สิ่งที่พวกเขากลัวสมัยเด็กๆ ทั้งนั้นล่ะครับ แล้วพอหนังได้รับไฟเขียว พวกเขาก็เพียรพยายามถ่ายทำหนังด้วยทุนเพียง 1.2 ล้าน ใช้เวลาเตรียมก่อนการถ่ายทำแค่ 5 วัน ก่อนจะเดินหน้าถ่ายทำ 18 วันรวดจนสำเร็จเป็นหนังเรื่องนี้ ซึ่งจริงๆ แล้วตอนแรกน่ะทาง Lions Gate ไม่ได้วางแผนจะให้หนังขึ้นจอใหญ่นะครับ แต่คิดจะให้เป็นหนังสำหรับลงวีดีโอเท่านั้น แล้ว 2 คนทำหนังอย่าง Wan กับ Whannell นั้นก็ไม่ได้รับค่าจ้างเป็นเงินสดนะครับ แต่ได้เป็นเปอร์เซ็นต์จากรายได้หนังแทน
ทีนี้ทุกอย่างก็มาพลิกผันตอนฉายรอบทดลองน่ะครับ ปรากฏว่ามันออกมา “ดีมาก” ทุกคนที่ได้ดูต่างยกนิ้วชื่นชม จนทางผู้ใหญ่ตัดสินใจโยกหนังมาฉายโรง แล้วยังไฟเขียวให้มีการวางเรื่องสำหรับภาคต่อทันทีที่หนังออกฉายด้วย เรียกว่ามั่นใจในตัวหนังแบบสุดๆ เลยล่ะครับ
และผลที่ได้ก็คือความสำเร็จสุดขีด ทำเงินไป 102.8 ล้านจากทั่วโลก ตามด้วยภาคต่ออีก 6 ภาค เรียกว่าหายเหนื่อยกันไปเลยล่ะครับทีมงานน่ะ โดยเฉพาะ Wan กับ Whannell ที่ทุ่มแบบเต็มแรง และรายได้ที่เขารับจากหนังก็กลายเป็นมากมายทวีคูณกว่าที่พวกเขาคิดไว้อีกครับ เพราะตอนแรกก็นึกว่าได้เปอร์เซ็นต์จากวีดีโอเท่านั้น แต่นี่ได้เพียบทั้งจากฉายโรง จากวีดีโอ ก็น่าดีใจแทนพวกเขาเหมือนกันนะครับ
เกร็ดเล็กๆ อีกอย่างของหนังเรื่องนี้ก็คือ Shawnee Smith ที่มาแสดงเป็นหนึ่งในเหยื่อของจิ๊กซอว์นั้น ตอนแรกเธอบอกปัดครับ หลังจากอ่านบทแล้วรู้สึกไม่อยากเล่น แต่พอได้ดูหนังสั้นที่ Wan ทำเท่านั้นล่ะ เธอเปลี่ยนใจมารับเล่นทันที แล้ว Wan เองก็มาเปิดเผยทีหลังครับว่าเขาน่ะอยากให้เธอมารับบทนี้มากๆ เพราะเขาชอบเธอครับ ชอบตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ตอนได้ดูหนังที่เธอแสดง อย่าง The Blob
เป็นหนังสยองที่มีดีหลายอย่างครับ ดูเพลิน ตื่นเต้น ระทึกมากๆ
คะแนนความชอบ = 8/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว แผลเก่า (2014)
2335 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด “ผู้ชายก็เหมือนปลา น้ำพัดไปทางไหน ก็ไหลไปทางนั้น” ถ้าลองว่ากันตามจริงแล้ว ผมว่าไม่ใช่แค่ผู้ชายหรอกครับ แต่คนส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะเป็นอะไรแบบนั้นอยู่ในที ^_^ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Dunkirk (2017) ดันเคิร์ก (ตอนที่ 1)
2759 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด การที่ผมเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ในโรงถึง 2 รอบแปลว่าผมชอบหนังเรื่องนี้มากๆ ใช่หรือไม่? ก็อาจจะใช่นะครับ ผมคงชอบหนังเรื่องนี้ไม่น้อยทีเดียว แต่ครั้นพอมาถามใจตัวเองจริงๆ คำตอบมันอาจมีรายละเอียดมากกว่าคำว่า ชอบ หรือ ไม่ชอบ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Let’s Go, JETS! (2017) เชียร์เกิร์ล เชียร์เธอ
2758 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด Pitch Perfect กำลังจะปิดตำนานด้วยภาค 3 ที่จะฉายปลายปีนี้น่ะนะครับ บอกตรงๆ เลยว่าผมก็ใจตุ้มๆ ต่อมๆ นะ ว่าหนังจะปิดตำนานได้ดีไหม ซึ้งไหม ว่าง่ายๆ คือแอบเอาใจช่วยอยู่ครับ เพราะลึกๆ ผมก็อยากดูแล้วได้อารมณ์ “อิ่ม” แบบตอนดู Pitch Perfect ภาคแรกอีกสักครั้ง ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด