Boyhood (2014) ในวันฉันเยาว์
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : Boyhood เรื่องนี้ขอยกให้เป็นเต็งออสการ์อันดับหนึ่งไปเลย ตอนเปิดตัวหนังสร้างกระแสพอสมควรจากรายละเอียดที่ว่ามีการถ่ายทำนานถึง 12 ปี!! โดยใช้นักแสดงคนเดิมทั้งชุดเพื่อนที่จะได้เห็นพัฒนาการของพวกเขา ในทุกปีจะมีการนำนักแสดงมารวมกันเพื่อถ่ายทำเป็นเวลาสองอาทิตย์ มีการดัดแปลงบทตามสภาวะของสังคมและภายในครอบครัวจากการเติบโตของตัวละครหลัก แรกก็คิดว่าสร้าง 12 ปี นี่ก็ยอมรับในความพยายามและอดทนของทีมงานทุกคนจริงๆ แต่เรื่องนั้นก็ไม่ได้การันตรีคุณภาพงาน จนเมื่อเห็นชื่อผู้กำกับถึงกับต้องคิดใหม่เลย เมื่อเข้าฉายเรื่องนี้ก็กวารางวัลกับคำวิจารเกินคาดมาก ได้เยอะจนไม่คิดว่าจะมีหนังที่ทำได้ขนาดนี้ในยุคนี้ ยิ่งเมกาเองก็น่าจะชอบมากกว่าเราเป็นไหนๆ แม้ผมเองก็ชอบมากๆๆๆไปแล้ว ด้วยการที่หนังเล่าชีวิตของเด็กคนหนึ่งจนเข้าสู่วัยรุ่น ยิ่งผมเองก็เป็นเด็กรุ่นเดียวกับตัวเอกในเรื่องอีกนี่มันคือสุดยอดหนังที่ควรจดจำไว้จริงๆ มันเป็นมากกว่าหนังด้วยการบันทึกประวัติศาสตร์ของสังคมอเมริกาในช่วง12ปีที่ผ่านมา ทำให้หวนนึกความหลัง อย่าคิดว่ามันมีดีแค่นั้นแต่เพราะตัวหนังเองก็สุดยอดมาก จากการมีบทที่ยอดเยี่ยมมาก ตรึงอารมณ์เราไปมาได้ หลายฉาก แสดงถึงความจริงของชีวิตที่ทิ่มแทงเราจนจุก เป็นยิ่งกว่าหนังวัยรุ่นสู่ผู้ใหญ่หรือที่เรียกกันว่า coming of age เพราะมันให้แง่คิดหลายๆอย่างในชีวิตได้อย่างดี ยิ่งช่วง 50
Birdman (2014) มายาดาว
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่87 : Birdman อีกหนึ่งภาพยนตร์เต็งออสการ์หลังจากที่ได้คว้าลูกโลกทองคำและรางวัลอื่นๆอีกมาก เรียกได้ว่าตีคู่Boyhoodมาเลย พล็อตหนังคืออดีตนักแสดงซุปเปอร์ฮีโร่ที่พยายามจะคืนฟอร์มด้วยการมากำกับละครบรอดเวย์ โดยมีบทบาทBirdmanที่เหมือนถูกผูกติดกับตัวเฮียแกมาโดยตลอดตามหลอกหลอน ดูไปก็คล้ายเป็นชีวประวัติ ไมเคิล คีตัน นักแสดงนำเหมือนกัน เพราะเป็นที่รู้กันดีว่าเฮียแกก็เป็นที่จดจำในฐานะแบทแมน และครั้งนี้ก็เป็นการกลับมาของแกคล้ายๆกับในหนังเลย มันจึงเป็นอะไรที่เข้ากันมาก จริงๆพล็อตหนังมันไม่น่ามาทำให้ฮาได้เลย ยิ่งเห็นชื่อผู้กำกับที่ผลงานผ่านๆมาล้วนแต่เป็นดราม่าหนักๆชั้นดีทั้งนั้น ใครจะไปคิดว่านี่คือผลงานของแก แต่จากตัวอย่างที่ได้ดูกับบทสนทนาบางส่วนที่ผ่านตามายังทำให้หัวเราะซะลั่นบ้านเลย มันช่างยียวนกวนประสาทอะไรขนาดนี้ งานนี้หวังว่าคงได้ฮาแบบฟินๆล่ะนะ ด้านนักแสดงครั้งนี้ไม่ได้มีแต่เฮียไมเคิลนะ เพราะยังแถมมาด้วยรุ่นเก๋าอย่าง เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ที่ได้เข้าชิงสมทบชาย พ่วงด้วยตัวประกอบคุณภาพอีกเพียบ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ นางเอกสาวผมบลอนด์ เอ็มม่า สโตน ที่เล่นดีจนเข้าชิงสมทบหญิงกันเลยทีเดียวน แน่นอนว่าเฮียไมเคิลเองก็ไม่พลาดที่จะได้เข้าชิงนำชายเช่นกัน เรียกได้ว่าชิงถึงสามในสี่นี่คงไม่ธรรมดาแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้หนังเข้ามาถึงระดับนี้คือการที่มีโปรดักชั่นที่ดีมาก สไตล์การกับกำทำให้เราทึ่งได้เสมอ ด้วยการขยับมุมกล้องและการตัดต่ออย่างแนบเนียนราวกับว่าเราได้ดูลองเทคทั้งเรื่องยังไงยังงั้น สมแล้วที่ได้ชิงกำกับภาพ
Selma (2014)
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : Selma และแล้วก็มาถึงหนังที่มีชื่อเข้าชิงเรื่องสุดท้ายที่ไม่ได้เข้าฉายในไทย ถ้าจะดูก็คงต้องพึ่งด้านมืดอย่างเดียว โยงเป็นชีวประวัติอีกเช่นเคย แต่จะเรียกชีวประวัติก็แปลกๆอยู่เพราะนี่ไม่ใช่การเล่าเรื่องราวชีวิตของบุคคล แต่เป็นช่วงเวลาสามเดือนแห่งประวัติศาสตร์ของยอดนักสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนอย่าง ดร.มาติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ เท่านั้น ถือว่ามาถูกช่วงพอดี เพราะพึ่งมีข่าวฉาวเกี่ยวกับสิทธิคนดำในอเมริกา เรื่องนี้คงสร้างความฮึกเหิมไม่น้อย สำหรับผมแล้วดร.คิง นี่ถือว่าเป็นไอดอลคนหนึ่งเลยเพราะอย่างนั้นจึงอยากดูมาก แม้ส่วนตัวจะรู้สึกว่าตัวเองดูหนังประเภทนี้มาเยอะแล้วก็เถอะปีที่แล้ว 12 year slave ที่เกี่ยวกับทาสผิวดำก็พึ่งได้ออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมปีที่แล้วไป แต่ก็ยังรู้สึกว่าหนังคุณภาพแนวๆนี้ก็จะยังคงสร้างความประทับใจเราเหมือนเรื่องอื่นๆที่ผ่านๆมา นักแสดงอย่าง เดวิด โอเยลโลโอ ก็แสดงได้อย่างหนักแน่นทรงพลังทั้งทาทางและน้ำเสียง กับการกำกับที่หนักแน่นของผู้กำกับหญิงแอฟริกัน-อเมริกันคนนี้ ทำให้เป็นการเชิดชูดร.คิงขึ้นไปอีกนักวิจารณ์อเมริกาทั้งหลายก็ต่างโปรดปรานเรื่องนี้ยังมาก แน่นอนว่าพวกเขาอินกว่าคนไทยอย่างเราๆอยู่แล้ว ด้วยองค์ประกอบต่างๆ จุดเด่นของหนังเรื่องนี้คงอยู่ที่มัน“โดนใจ”ชาวอเมริกันไปเต็มๆ แต่มาที่ชาติอื่นๆก็อาจจะไม่อินถึงขนาดนั้น นี่คงเป็นเหตุผลที่เรื่องนี้ไม่ได้ถูกซื้อมาฉายที่ไทย อีกอย่างคือเพลง
รีวิว This Is Where I Leave You (2014)
This Is Where I Leave You คือผลงานกำกับของ Shawn Levy ที่เขาทำก่อน Night at the Museum: Secret of the Tomb ครับ
การกลับมาในโรงภาพยนตร์อีกครั้งของ Interstella
ใกล้เข้ามาเต็มทีแล้วสำหรับการประกาศรางวัลออสการ์ที่ยิ่งใหญ่ของฮอลลีวูดซึ่งจะเกิดขึ้นในคืนวันอาทิตย์นี้ และหนึ่งในหนังที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลทางด้านเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยมหลายรางวัลด้วยกันก็คือ Interstellar (ทะยานดาวกู้โลก) ของผู้กำกับคริสโตเฟอร์ โนแลน ซึ่งได้เข้าชิงรางวัล ดนตรีประกอบหนังยอดเยี่ยมด้วย อย่างไรก็ดี ถึงแม้หนังจะยังไม่ได้รับรางวัลใดๆ แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าหนังน่าจะได้รับรางวัลใดสักรางวัลหนึ่งทางด้านเทคนิค และนี่เป็นเวลาที่ดีที่เราจะได้ดูหนังเรื่องนี้อีกครั้งในโรงภาพยนตร์ AMC เธียเตอร์ และพาราเมาท์ พิคเจอร์สมีประกาศที่จะฉายหนังเรื่อง Interstellar อีกครั้ง ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ เวลาบ่ายสาม เพียงรอบเดียววันเดียวเท่านั้น ในวันนั้นนอกจากผู้ชมจะได้พบกับดารานำอย่างแมทธิว แมคคอนนาเฮย์ ตัวเป็นๆแล้ว ยังจะได้ชมเบื้องหลังภาพยนตร์ 12 นาทีที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อนอีกด้วย และนี่เป็นโอกาสที่ดีที่ Interstellar จะได้กลับมาทำเงินในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อคุณซื้อตั๋ว Interstellar ในรอบนี้นั้น คุณจะสามารถนำเพื่อนเข้าไปร่วมชมในโรงได้อีกหนึ่งคน ซึ่งหากเพื่อนของคุณยังไม่เคยชมหนังเรื่องนี้มาก่อน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่เขาจะได้ชมหนังเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ นอกจากนี้หากคุณเป็นผู้ชม
The Grand Budapest Hotel (2014) คดีพิสดารโรงแรมแกรนด์บูดาเปสต์
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : The Grand Budapest Hotel มาถึงหนังเข้าชิงที่ผมชอบมากๆๆๆ เรื่องนี้ไม่มีคำว่าเฉียดเข้าใกล้แนวทางออสการ์เลย ผู้กำกับเวส แอนเดอร์สันก็ออกมาบอกว่าไม่ได้สร้างมาชิงรางวัลไม่ว่าจะสำนักไหนก็ตาม แต่ในเมื่อหนังมันโดนใจซะขนาดนี้มีหรือที่จะพลาดชื่อเข้าชิงไปได้
The Imitation Game (2014) ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : The Imitation Game The Imitation Game (2014) ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก เป็นเหมือนเช่นเคย เรื่องนี้ก็ชีวประวัติอีกแล้ว โดยเป็นชีวประวัติของอลัน ทัวริ่ง นักคณิตศาสตร์ที่เคยร่วมมือกับทางการอังกฤษในการคิดค้นเครื่องถอดรหัสอินิกมาเพื่อมาดักฟังการสื่อสารของพวกนาซี ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญให้ฝ่ายสัมพันธมิตรชนะในสงครามโลกครั้งที่สอง แม้จะทำผลงานขนาดนี้ก็ตามแต่กลับไม่เป็นที่ประจักษ์กลับสาธารณะชนในยุคนั้น และชีวิตเขายังโดนซ้ำเติมด้วยการรับโทษจากการยอมรับว่าเป็นเกย์ซึ่งผิดกฏหมายในยุคนั้น แม้ด้านเนื้อหาจะถูกบิดเบือนไปมากก็ตามแต่ก็เป็นส่วนที่ทำให้หนังสร้างความทรงพลังได้อย่างดี
The Theory of Everything (2014) ทฤษฎีรักนิรันดร
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : Theory of everything เรื่องนี้ก็เป็นหนังชีวประวัติอีกเช่นเคย และบุคคลต้นแบบนี้หลายๆคนก็นาจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะเขาคือ สตีเฟ่น ฮอว์กิ้ง หนึ่งในมนุษย์ที่มหัศจรรย์ที่สุดคนหนึ่ง หนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่มีความอัจฉริยะและสร้างผมงานมากที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่แม้เขาจะป่วยเป็นโรค ALS จนไม่สามารถขยับร่างกายได้เลยก็ตาม แต่สิ่งที่หนังต้องจะนำเสนอคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังชีวิตมหัศจรรย์ของเขา แม้เขาจะเคยถูกหมอบอกว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียง 2 เดือน แต่กำลังใจจากเจนผู้เป็นภรรยาทำให้เขาสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถึงวันทุกวันนี้และสร้างคุณประโยชน์ให้วงการวิทยาศาสตร์มากมาย โดยหนังเรื่องนี้ก็สร้างมาจากหนังสือที่เจน ภรรยาคนแรกของเขาเขียนขั้นมานั่นเอง
Whiplash (2014) ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : Whiplash ในบรรดาหนังที่เข้าชิงทั้ง8เรื่อง เรื่องนี้แม้จะไม่ได้ถูกวางไว้ให้เป็นตัวเต็งด้วยการที่ไม่ตรงทางออสการ์เลย แต่ก็เป็นอีกเรื่องที่ได้รับความสนใจไม่น้อย ด้วยการที่นี่เป็นหนังจากเวทีซันแดนซ์ซึ่งเป็นเวทีหนังอินดี้ทุนต่ำ แม้หนังรางวัลแบบนี้มักจะถูกมองจากคนกลุ่มใหญ่ว่าน่าเบื่อ เข้าถึงยาก (บางเรื่องผมก็ยอมรับจริงๆ) แต่ว่าเรื่องนี้จะต้องทำให้ทุกคนต้องคิดใหม่ ด้วยการที่เป็นหนังจากซันแดนซ์ที่สร้างปรากฏที่ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อย ด้วยการคว้ารางวัลขวัญใจผู้ชมและรางวัลใหญ่จากคณะกรรมการพร้อมกัน แถมหลังหนังฉายจบคนในเทศกาลต่างพร้อมใจกันลุกขึ้นปรบมือนานกว่า 6 นาที
American Sniper (2014) อเมริกัน สไนเปอร์
ภาพยนตร์เข้าชิง Best picture ออสการ์ครั้งที่ 87 : American Sniper งานประกาศรางวัลออสการ์ก็ได้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ อีกทั้งหนังที่ได้เข้าชิงสาขาใหญ่สุดอย่างภาพยนตร์ยอดเยี่ยมก็ได้มีการนำมาฉายที่บ้านเราจนเกือบครบ ถ้าเราสังเกตดีๆจะรู้ว่าเกือบทั้งหมดล้วนเป็นหนังชีวประวัติทั้งสิ้น วันนี้ผมจึงจะมาแนะนำหนังที่มีชื่อเข้าชิงกัน ประเดิมด้วยหนังที่ทำรายได้มากที่สุดก่อนเลย
รีวิว Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day (2014) วันอลวนของครอบครัวอลเวง
Alexander and the Terrible, Horrible, No Good, Very Bad Day ดัดแปลงจากหนังสือสำหรับเด็กที่ได้รับความนิยมมาหลายสิบปีครับ (ตีพิมพ์ครั้งแรกปี 1972) เนื้อเรื่องว่าด้วยหนุ่มน้อย อเล็กซานเดอร์ (Ed Oxenbould) ที่ชีวิตของเขาเต็มด้วยคำว่า “ซวยซ้ำซ้อน” และ “ซวยซ้ำซาก” แต่พ่อแม่พี่น้องเขากลับไม่มีใครเข้าใจเลยแม้แต่นิดเดียว
รีวิว Fifty Shades of Grey (2015) ฟิฟตี้ เชดส์ ออฟ เกรย์
ไปพิสูจน์มาแล้วครับ Fifty Shades of Grey เดินออกจากโรงมานี่ซาดิสม์ขึ้นเยอะ เอ้ย ไม่ช่าย (55555) โดยพื้นฐานแล้ว พล็อตก็คือสูตรสำเร็จว่าด้วยสาวสวยอ่อนต่อโลก อนาสตาเซีย สตีล (Dakota Johnson) มาพบเจอกับมหาเศรษฐีหนุ่มสุดหล่อ (ผู้มีปมในใจ) อย่างคริสเตียน เกรย์ (Jamie Dornan)
รีวิว X-Men: Days of Future Past (2014) X-เม็น สงครามวันพิฆาตกู้อนาคต
X-Men: Days of Future Past ทำการแก้ลำเรื่องราวของหนังชุดนี้อย่างได้ผลครับ หลังจากที่หลายภาคที่ทำออกมาก่อนหน้า ทำแล้วมีจุดขัดกันเองหรือไม่กลมกลืนอยู่หลายอย่าง
รีวิว The A-Team (2010) เอ-ทีม หน่วยพิฆาตเดนตาย
The A-Team รีเมคจากซีรี่ส์เก่าที่ฉายระหว่างปี 1983 – 1987 ครับ กับเรื่องราวของหน่วยทหารที่พร้อมปฏิบัติภารกิจเสี่ยงตายทุกรูปแบบ โดยสไตล์ก็คือ Mission: Impossible ภาคทหารลุยระเบิดนั่นเอง
รีวิว The Wolverine (2013) เดอะ วูล์ฟเวอรีน
The Wolverine อาจเป็นหนังชุด X-Men ภาคที่มีคนชอบพอๆ กับที่มีคนเฉยน่ะนะครับ เพราะปริมาณแอ็กชันไม่เยอะ ลีลาแฟนตาซีสไตล์มิวแตนท์ตีกันก็ไม่มาก เนื้อหาก็ไม่ถึงกับสดใหม่อะไรนัก