รีวิว Good Kids (2016) เรียบจบแล้ว ขอเป็นตัวเองสักครั้ง (สปอยล์เต็มๆ)
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
สาระจริงๆ ก็มีแบบจางๆ ครับ บางฉากก็มาแบบไม่ตั้งตัว อย่างฉากที่เพื่อนคนหนึ่งที่แอนดี้เคยคิดว่าน่าจะไม่ต้อนรับเขา ประมาณว่าแอนดี้กับเพื่อนอีก 3 คนเป็นเหมือนเด็กเรียน เลยเหมือนๆ จะไม่ถูกกับเด็กคนอื่นๆ ที่เน้นสนุกกับชีวิตมากกว่า แต่ไปๆ มาๆ เพื่อนคนนั้นกลับบอกว่า “ไม่ใช่ไม่มีใครคบพวกนายนะ แต่พวกนายนั่นแหละแยกตัวเองออกไป”
เป็นฉากง่ายๆ ที่บอกอะไรได้หลายอย่างครับ มันเหมือนว่าบางครั้งเด็กเรียนคิดว่าตนเข้ากับคนอื่นไม่ได้ หรือมองว่าคนอื่นไม่ใช่เด็กเรียนเหมือนตน เลยไม่สะดวกใจจะเข้าไปคบหา แต่เอาเข้าจริงเด็กที่ไม่ใช่เด็กเรียนส่วนใหญ่น่ะเข้าได้กับคนทุกกลุ่ม ไปได้หมดกับคนทุกประเภทที่เข้ามาข้องแวะกับตน
นั่นเลยทำให้ “เด็กไม่เน้นเรียน” มีเพื่อนเยอะ มีประสบการณ์เยอะกว่า คือในตำราอาจไม่เก่ง (ประมาณว่าพอรู้บ้าง พวกความรู้พื้นฐานน่ะยังไงก็รู้อยู่แล้ว) แต่จะไปเก่งในชีวิตจริงซึ่งในระยะยาวนั้น เด็กไม่เน้นเรียนเหล่านี้จะมีคอนเนคชั่นเยอะ มีทางไปในชีวิตเยอะ
และส่วนใหญ่เด็กกลุ่มนี้ไม่มีกรอบกติกาอะไรมากครับ เลยมี “โลกแห่งความเป็นไปได้” ที่กว้างไกลกว่าเด็กที่ติดกรอบ ติดตำรา ติดทฤษฎี กล้าทำอะไรหลายๆ อย่าง กล้าก้าวไปในที่ๆ ไม่เคยมีใครไป กล้าที่จะลองผิดเพื่อจะได้รู้ว่าไอ้ที่มันถูกน่ะเป็นยังไง (แต่ที่ลองผิดแล้วไม่รู้ว่าผิด นี่ก็มีเหมือนกัน)
พวกประเด็นเล็กๆ แบบนี้จริงๆ มีความน่าสนใจครับ แต่เสียดายที่หนังให้พื้นที่กับอะไรเหล่านี้ไม่มากนัก อดคิดไม่ได้ว่าถ้าหนังบริหารพื้นที่ให้ดีๆ ลดความฮาหรือเรื่องเพศลงนิด แล้วให้พื้นที่กับอะไรพวกนี้มากหน่อย (เช่น ให้เราเห็นปฏิสัมพันธ์ที่ 4 ตัวเอกมีต่อเด็กกลุ่มอื่นๆ) หนังอาจมีอะไรน่าสนใจกว่านี้ก็ได้
ดาราในเรื่องก็เล่นกันดีครับ Deutch น่ารักดี นอกจากเล่น Dirty Grandpa ที่ผมบอกแล้ว เธอยังแสดงใน Why Him? และไม่รู้ยังจำกันได้ไหมว่าเธอเคยแสดงใน Beautiful Creatures และ Vampire Academy มาก่อนด้วย, Braun ก็รับบทแอนดี้ได้ชวนให้นึกถึงรอสแห่ง Friends มากๆ ส่วน Arias และ Broussard นั้น มาไม่เยอะครับ แต่ก็มีโมเมนต์น่าจดจำของตัวเองคนละนิดละหน่อย
สรุปคร่าวๆ ว่าหนังดูเอาเพลินได้ครับ เพียงแต่อาจไม่ถึงกับเด็ดหรือน่าจดจำอะไรมาก แต่ก็พอจะมีอะไรให้เก็บเอาไปคิดติดหัวได้บ้างครับ ทว่าถ้าใครหวังความฮาหนักๆ แบบ American Pie ก็ต้องเผื่อใจไว้นะครับ เพราะแม้เรื่องเพศจะมีไม่น้อย แต่ความฮาก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้นครับ
ตอนจบเป็นอะไรที่โดนใจผมกว่าที่คิดไว้ครับ คือหนังสรุปจบที่ 4 ตัวเอกผ่านเรื่องวุ่นๆ ด้วยกันมา แล้วก็ลงเอยที่ซีนสุดท้ายก่อนแยกจาก เมื่อหน้าร้อนสิ้นสุด พวกเขาต้องแยกย้ายกันแล้ว ก็เลยมีการเอ่ยคำอำลาต่อกัน ซึ่งจริงๆ ฉากแบบนี้มีความหมายนะครับ เพราะพวกเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กน่ะ แต่ตอนนี้พวกเขากำลังจะแยกย้ายกันไปเข้ามหาวิทยาลัยคนละแห่งและคนละเมืองกันซะแล้ว
ประเด็นที่ผมว่าจี๊ดคือ จริงๆ แอนดี้น่ะชอบนอร่าครับ อ้า จริงๆ อันนี้เดาได้ไม่ยากนะ รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมารักกันเองแบบนี้ ดังนั้นในฉากก่อนจะแยกจากกัน หลังจากไลออนและสไปซ์แยกไปที่รถของตัวเองแล้ว แอนดี้ก็อยู่กับนอร่าสองคน แล้วพวกเขาก็กอดกัน…
จุดที่มันชวนจี๊ดก็คือ พวกเขาเหลือเวลาอยู่ด้วยกันแค่นี้ครับ… ตลอดหน้าร้อนที่ผ่านมาพวกเขาแยกกันไปทำอะไรที่มันไม่ใช่ตัวเองเลยอ้ะ แอนดี้ก็ไปมีอะไรกับคุณภรรยาขี้เหงาที่มาเรียนเทนนิสกับเขาแล้วก็ไปวุ่นกับเรื่องรักทางไกล (แอนดี้มีเพื่อนทางอีเมลล์น่ะครับ)… แต่เขากลับไม่มีเวลาอยู่กับนอร่าเลย
ส่วนนอร่าก็ไปคบหากับรุ่นพี่ ที่สุดท้ายก็เห็นเธอเป็นแค่ของเล่นชั่วคราว… เธอเลยไม่มีเวลาได้อยู่กับแอนดี้เลย… แต่พอถึงตอนนี้ ไม่มีเวลาเหลือแล้วครับ วันหยุดหมดไปแล้ว หน้าร้อนผ่านไปแล้ว เวลาไม่อาจย้อนคืน พวกเขาไม่มีโอกาสได้เผยใจหรือใช้เวลาร่วมกันอีก
พวกเขาทำได้แค่เดินไปข้างหน้า แอนดี้ต้องไปเรียนต่อ นอร่าต้องไปเรียนต่อ… ชีวิตพวกเขาต้องดำเนินต่อ หลายอย่างยังดำเนินต่อ ยกเว้นเรื่องราวของพวกเขาที่หมดเวลาไปแล้ว (มีเวลานับ 10 ปีกับอีกหนึ่งซัมเมอร์ล่าสุดให้สานต่อในเรื่องรัก… แต่มันผ่านไปแล้ว) … นึกแล้วมันจี๊ดจริง
ด้วยเหตุนี้ผมเลยเข้าใจสิ่งที่ผู้กำกับ McCoy พยายามทำให้เราเห็นครับ เขาให้เราเห็นชีวิตที่ดูจะไร้ประเด็นสาระของแอนดี้ เพื่อที่จะให้เราเข้าใจว่า แอนดี้และนอร่าเองหมดเวลาในช่วงหน้าร้อนไปอย่างน่าเสียดาย… และเวลาเมื่อผ่านไปแล้ว มันก็ผ่านเลยไป ไม่อาจย้อนคืน
อารมณ์เหมือนพวกเราตอนเรียนไหมครับ ช่วงวันหยุดฤดูร้อนเกือบ 3 เดือน ไอ้ตอนก่อนหยุดนี่เรามีแผนอยากทำอะไรต่อมิอะไรเพียบไปหมด แต่พอถึงเวลาจริงๆ เรามักจะใช้เวลาไปกับหลายๆ เรื่องที่มันอาจ “ไม่ใช่สิ่งที่น่าทำที่สุดอย่างที่จริง” จนพอถึงช่วงสองวันก่อนเปิดเทอม เราก็มานั่งเสียดายว่าตั้งเกือบ 3 เดือนที่เราได้มา เราเอามันไปใช้ทำอะไรเนี่ย?
ลึกๆ ผมว่า McCoy เขามีธงในใจนะ แต่ตอนถ่ายทอดออกมาอาจทำได้ไม่เหมือนที่คิดไว้ และผมมองว่าจริงๆ เขาจับประเด็นได้ดีครับ เพียงแต่การเล่าเรื่องอาจยังไม่ลงล็อค หรือไม่เขาอาจไม่เหมาะกับการเล่าเรื่องในเชิงตลกก็ได้ แอบคิดเหมือนกันว่าถ้าเขาเลือกจะไม่เน้นที่เรื่องเพศหรือเรื่องตลก แต่เน้นไปที่อะไรแบบที่เขาพยายามจะสื่อในตอนจบมาตั้งแต่แรก ผลลัพธ์จะออกมาต่างจากนี้ไหม
ถ้าใครว่างๆ ผมอยากให้ลองดู The Bicycle งานหนังสั้นของ McCoy เขาครับ แล้วจะเข้าใจว่าทำไมผมถึงกล่าวว่า เขามีธงในใจ
คะแนนความชอบ 6/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Bitter Harvest (2017) รักในวันรบ
2523 0ถ้ามองถึงประเด็นที่หนังนำมาเล่านั้น ต้องบอกว่ามีความน่าสนใจทีเดียวครับ เพราะไม่ค่อยเห็นเขาเอามาเล่ากันสักเท่าไร ทั้งที่เหตุการณ์นี้ก็เป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ไม่แพ้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวเลย ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว This Is the End (2013) วันเนี๊ย… จบป่ะ
1864 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด “ช่างกล้า ทำไปได้ ไม่อายฟ้าดิน” น่าจะจำกัดความหนังฮาสติแตกเรื่องนี้ได้ดีที่สุดครับ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว SPL 2: A Time for Consequences (2015) โหดซัดโหด
2303 0SPL 2: A Time for Consequences หรือ โหดซัดโหด ถือเป็นภาคต่อจาก SPL ภาคแรกที่เจิ้นจื่อตันแสดงไว้ครับ ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด เพียงแต่เป็นภาคต่อในลักษณะที่ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก แต่เรื่องราวไม่ได้ต่อกัน ไม่ได้เกี่ยวกัน ดาราเก่าจากภาคแรกที่มาแสดงอย่าง เยิ่นต๊ะหัว และ อู๋จิง ก็ไม่ได้มารับบทเดิมแต่อย่างใด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด