รีวิว The Edge of Seventeen (2016) (ตอนจบ)
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
เราอาจคิดว่า “ฉันจะเป็นของฉันแบบนี้ ใครจะทำไม” ซึ่งเราก็เป็นได้แหละครับ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก มันยังมีคนอื่นอยู่รอบตัวเราด้วย และบางสิ่งที่เราชอบ คนอื่นอาจไม่ได้ชอบ อีกทั้งการที่เราเป็นตัวเราอย่างที่เราต้องการ มันอาจทำให้หลายๆ คนไม่อยากยุ่งกับเราก็ได้ เพราะบางครั้งเราก็อาจเอาเปรียบคนอื่นหรือไปล่วงล้ำคนอื่นโดยไม่รู้ตัว
หรือเราอาจคิดถึงตัวเองมากจนลืมไปว่าคนอื่นเขาก็มีสิทธิ์จะไม่ชอบเราได้เหมือนกันนะ และจริงๆ แล้วคนอื่นเขาก็มีสิทธิ์เลือกชีวิตในแบบของเขาเองเหมือนกันนะ ไม่ใช่ว่าเขาจะต้องยอมตามเราเพียงอย่างเดียว และไม่ใช่ว่าเขาจะต้องยอมไม่ทำบางเรื่อง เพียงเพราะเราไม่อยากให้เขาทำ ฯลฯ เนี่ยครับ หนังชี้ชวนให้เรามองเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดตั้งแต่ต้นจนจบทีเดียว
Steinfeld คือพลังสำคัญของหนังเลยครับ บทที่เธอแสดงคือสาวน้อยที่ออกจะกะเปิ้บๆ สักหน่อย ไม่เน้นสวยแต่เน้นเป็นตัวของตัวเอง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น Steinfeld เล่นได้พอเหมาะ เธอถ่ายทอดบทสาวน้อยเอาแต่ใจ+คิดว่าตนเป็นศูนย์กลางจักรวาลได้แบบถึงเครื่อง แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ดูน่ารำคาญแต่อย่างใด (ทั้งที่หลายๆ พฤติกรรมของเธอนั้น ชวนให้หมั่นไส้ รำคาญ และน่าอยู่ให้ไกลหลายๆ กิโล)
อันนี้ผมถือว่าเธอเก่งนะ เพราะบททำนองนี้ถ้าใครตีบทไม่ถูกจุดล่ะก็ พอตอนแสดงออกมาถ้าไม่แรงเกินจนรู้สึกน่ารำคาญพาลให้เกลียดไปเลย (แบบคุณหนูเอาแต่ใจที่เรามักเจอบทจอทีวีบ้านเราอยู่บ่อยๆ) ก็จะจืดเกินจนสัมผัสไม่ได้ว่าเธอเอาแต่ใจ ก็ขอชม Steinfeld เลยครับ เธอเอาอยู่จริงๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ จนพอเข้าใจว่าทำไมถึงได้เข้าชิงลูกโลกทองคำในปีนี้
ดาราร่วมจอรายอื่นก็เล่นกันได้ดีครับ อย่าง Woody Harrelson ก็มาโทน “น้อยแต่แน่น” ขโมยซีนได้ในหลายวาระ เขารับบทเป็นคุณครูบรูเนอร์ ที่ต้องเป็นที่ปรึกษาปัญหาชีวิต (แบบจำใจ) ให้กับเนดีน ซึ่งหลายๆ วาระพี่แกก็ทำได้ฮาแบบไม่ต้องออกแรงน่ะครับ
ผมชอบที่หนังไม่กำหนดให้ครูบรูเนอร์เป็นครูพ่อพระที่แสนดีใจงามหรือโลกสวย (แบบนั้นมันจะดูหลอกเด็กไปหน่อย) แต่เขาจะออกแนวผู้ใหญ่ที่ผ่านโลกความจริงมามากมาย จนเข้าใจในความดีแย่ของโลก และเข้าใจว่าทำไมเนดีนถึงไม่โอเคกับชีวิต แต่เขาก็ไม่ได้สอนแบบตรงๆ ทว่าเขาทำหน้าที่เหมือน “เพื่อน” ที่คอยอยู่ข้างๆ คอยรับฟังและ “แนะนำด้วยการไม่ชี้นำ” ทั้งหมดนี้ทำให้ตัวละครนี้ออกมาน่ารักกำลังเหมาะเลยครับ
Sedgwick ก็เวิร์กดีกับบทแม่ขี้บ่น (แต่หวังดี) ผมชอบฉากตอนท้ายสุดที่เธอส่งข้อความผ่านมือถือน่ะครับ (ที่ใครดูแล้วน่าจะรู้ว่าคือฉากไหน) มันเป็นฉากง่ายๆ ที่สอนพ่อแม่ได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะจริงๆ เราก็ดูแลลูกไม่ได้ทั้งชีวิตหรอก มันต้องให้เขาลองผิดลองถูกเองซะบ้างถึงจะเกิดการเรียนรู้ ดังนั้นบางทีสิ่งที่ดีที่สุดที่พ่อแม่จะมอบเป็นมรดกให้ลูกได้คือ “การไว้ใจให้ลูกลองเรียนรู้ชีวิตเอง”
Jenner กับ Richardson ออกแนวบทสมทบครับ การแสดงอาจไม่ถึงกับเด่น แต่ก็เสริมความดีให้หนังได้ แล้วก็ Hayden Szeto ในบทเออร์วิน หนุ่มเอเชียที่ดูเนิร์ดๆ หงิมๆ ที่เข้ามาพัวกันกับเนดีน ในแง่การแสดงก็อาจมีส่วนที่ดูแข็งอยู่บ้าง แต่ไปๆ มาๆ ความแข็งๆ หงิมๆ ของคาแรคเตอร์กลับทำให้ตัวละครนี้ดูเด่นไม่น้อย
The Edge of Seventeen เป็นหนึ่งในหนังไม่กี่เรื่องที่ผมได้ดูในระยะหลังๆ แล้วพูดได้เต็มปากว่า “ผมมีความสุขหลังดูจบ” สุขแรกก็เพราะสุขใจที่มีคนทำหนังแบบนี้ออกมาให้ได้ดูกัน และทำออกมาดีซะด้วย สุขที่ 2 คือหนังทำออกมาสนุก ดูเพลิน ดูแล้วขำ แต่ก็ได้เนื้อหาสาระแบบครบรส
สุขที่ 3 คือ หนังทำให้เราย้อนมองชีวิตตัวเองครับ มันทำให้เราตระหนักว่าชีวิตคนเรามันก็มีดีแย่ผสมกันไปนั่นแหละ บางช่วงก็ดีมาก บางช่วงก็แย่ซ้ำซ้อน แต่หากเรามีสติเพียงพอที่จะเรียนรู้จะมัน เราก็จะหลีกเลี่ยงทุกข์ได้เก่งขึ้น เราจะตั้งรับต่อความผิดหวังได้อย่างมืออาชีพมากขึ้น
ตอนเรายังเด็ก เงื่อนไขความสุข-ทุกข์ของเราอาจไม่ซับซ้อนนัก แต่พอโตขึ้นแล้วมันก็มีอะไรมากขึ้น ซึ่งบางทีก็ไม่ใช่เพราะเราอย่างเดียวหรอกครับ แต่เพราะสถานการณ์ เพราะคนรอบตัว เพราะสังคมรอบข้างมันมีส่วนให้เงื่อนไขเราเปลี่ยนไป และเราก็อาจคิดว่า “เพราะชีวิตมันยากขึ้น เราเลยรับมือกับมันได้ยากขึ้น”
แต่อย่าลืมครับว่าเราก็โตขึ้นทุกวันนะ เราอาจรับมือกับบางปัญหาไม่ได้ในวันนี้ แต่เราก็ยังสามารถเรียนรู้+ฝึกฝน+ใคร่ครวญที่จะรับมือกับมันให้ได้ดีขึ้นเช่นกัน ขอเพียงเราไม่ย่อท้อ ไม่ยอมแพ้ต่อชะตากรรม ลองยกให้อดีตและปัญหาเป็นครูดูซักตั้ง แล้วก็เรียนรู้ให้เข้าใจจากสิ่งเหล่านั้น ต่อให้เราไม่สามารถรับมือกับมันได้อย่างมืออาชีพในตอนนั้น แต่อย่างน้อยเราก็จะเข้าใจมันมากขึ้น และนั่นก็จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เราสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวของเราได้มากขึ้นในครั้งต่อไป
และเราต้องไม่ลืมพิจารณาตนเองครับ จริงที่โลกรอบตัวอาจเป็นปัญหาที่ทำให้ชีวิตเราอยู่ยากขึ้น แต่ก็ไม่แน่ว่าตัวเราเองก็อาจมีปัญหาหรือมีจุดที่ควรปรับแก้เช่นกัน
บางครั้งชีวิตก็เหมือนอยู่ในเขาวงกตน่ะครับ เราต้องมองหลายๆ ทางและหลายๆ มุมถึงจะหาทางออกได้ หากเรายังมัวแต่มองมุมเดียว, ใช้เพียงวิธีเดียว หรือเดินซ้ำๆ ย่ำอยู่แค่เส้นทางเดียว เราก็จะไม่มีวันออกจากวงกตที่ว่าได้เลย
หากเราอยากมีชีวิตที่ดีกว่าเมื่อวาน มันต้องเริ่มจากวันนี้เท่านั้นครับ ^_^
สรุปอีกที นี่คือหนังที่ผมชอบมากและอยากแนะนำให้ทุกท่านได้ชมกันครับ มันอาจนำคำตอบบางอย่างของชีวิตบางที่ท่านค้นหามานานมาสู่ท่านก็ได้
คะแนนความชอบ 8/10
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Hunter’s Prayer (2017) ล่าคนระอุ
1650 1ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ดูหนังเรื่องนี้แล้วผมนึกย้อนไปเมื่อสักเกือบ 10 ปีก่อนครับ จำได้ว่า Sam Worthington สมัยนั้นฮ็อตเอาเรื่อง ทำแฮตทริกมีหนังเข้าป้ายร้อยล้านตั้ง 3 เรื่องติดๆ กัน (Terminator Salvation, Avatar และ Clash of the Titans) แล้วหลังจากนั้นก็มีงานนำเดียวมาให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Hector and the Search for Happiness (2014) เฮคเตอร์ แย้มไว้ให้โลกยิ้ม
2308 0Hector and the Search for Happiness เป็นหนังที่น่าสนใจดีครับ เรื่องราวว่าด้วยเฮคเตอร์ (Simon Pegg) จิตแพทย์หนุ่มที่น่าจะมีชีวิตอันแสนสุข เพราะงานที่ทำก็ประสบความสำเร็จ มีคนมาให้บำบัดไม่ขาดสาย อีกทั้งยังได้แต่งงานกับสาวสวยสุดเก่งอย่างคลาร่า (Rosamund Pike) อีกด้วย ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Foodies (2014) เกิดมาชิม
2143 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด หนังสารคดีว่าด้วยการตามติดชีวิตนักชิมครับ ซึ่งหลายอย่างถือว่าเข้าทางผมนะ เพราะปกติชอบดูสารคดีและเรื่องอาหารการกินนี่ก็เป็นอะไรที่ใกล้ตัวอยู่ เพราะขยันเดินทางไปหาของอร่อยกินอยู่แล้ว 555 ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด