รีวิว Mortdecai (2015) มอร์เดอไค สายลับพยัคฆ์รั่วป่วนโลก
Mortdecai จัดเป็นหนังน่าเสียดายแห่งปีครับ เพราะวัตถุดิบน่ะมีดีๆ หลายอย่าง ไม่ว่าจะดาราอย่าง Johnny Depp, Gwyneth Paltrow, Paul Bettany, Ewan McGregor, Olivia Munn และ Jeff Goldblum แต่ละคนนี่มืออาชีพ เคยผ่านงานหนังเบาสมองกันมาแล้วทั้งนั้นด้วย
ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด
และยังกำกับโดย David Koepp แห่ง Secret Window, Ghost Town และ Premium Rush ที่แต่ละเรื่องก็ออกมาสนุกดี โดยเฉพาะ Ghost Town นี่ถือเป็นหนังตลกผสมโรแมนติกที่น่ารักกำลังดีเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ผลงานหนังเรื่องนี้กลับออกมาจืดชืดเกินความคาดหมายอย่างมาก
ตอนดูตัวอย่างรอบแรกผมว่ามันไม่ เลวนะครับ ก็น่าดูดี แต่พอได้ดูเต็มเรื่องจริงๆ แล้วกลับจืดอย่างแรง แม้ป๋า Depp จะมาพร้อมลีลาเพี้ยนๆ อันเป็นจุดขายสำคัญของพี่แกก็เถอะ แต่สถานการณ์โดยรอบมันไม่ขำ การเดินเรื่องก็ไม่ลงตัวทั้งในแง่ความตลกและในแง่เนื้อหา
ถ้าว่ากันถึงเนื้อหานี่หนังจัดว่าน่าสนใจเลยนะครับ ตัวเอกคือ ชาร์ลี มอร์เดอไค (Depp) นักค้างานศิลปะที่จำต้องรับงานสืบหาภาพเขียนที่ถูกขโมยไป ซึ่งถ้าหนังทำดีๆ ก็จะมีอะไรให้เล่นเยอะครับ ไม่ว่าจะไหวพริบในการตามสืบ ประมาณว่าให้มอร์เดอไคใช้ความรู้เชิงศิลปะในการสืบหา แล้วก็ผสมลีลาเพี้ยนไม่เหมือนชาวบ้านลงไปหน่อย หนังก็จะได้ทั้งเนื้อหาและความขำมาดึงให้คนดูรู้สึกอยากติดตาม
แต่หนังดันเน้นแต่ความเพี้ยนเพื่อขายขำ (และปัญหาคือ มันแป๊ก) ส่วนพวกประเด็นพล็อตหลักก็ลอยไปลอยมา จับไม่ติดเลยครับ คือมันเป็นการสืบที่ไร้เข็มทิศมากๆ นึกจะไปประเทศไหนก็ไป ทั้งที่ไม่มีการทิ้งปมที่ชัดเจนเลยว่า ทำไมต้องไปที่นั่น และพอการเดินเรื่องเป็นแบบนี้มากๆ เข้า ความรู้สึกอยากติดตามของคนดูก็ลดลงตามลำดับ เพราะเราเองก็ไม่รู้ว่าพี่มอร์เดอไคแกจะไปทำไม…
อันที่จริง คาแรคเตอร์ของพี่มอร์เดอไคเอาก็แอบหัวช้าเหมือนกันครับ กล่าวคือบางทีพี่แกเองก็ยังไม่ทราบแน่เหมือนกัน ว่าฉันจะไปประเทศนี้ทำไมเนี่ย 555
จริงๆ แล้วหนังขายขำ ต่อให้ทำออกมาแล้วไม่ขำ แต่อย่างน้อยหากพล็อตหลักยังโอเค เราก็ยังพอกล้อมแกล้มดูต่อไปได้ แต่นี่พอพล็อตสะเปะสะปะ แล้วยังพร่องความตลกอีก หนังชั่วโมงครึ่งกว่าๆ เรื่องนี้เลยกลายเป็นอะไรที่นิ่งสนิทไปเลย (อยากบอกว่าผมชอบช่วงที่ชาร์ลีเล่าประวัติของภาพนะครับ ตอนแรกก็คิดว่า “เอาล่ะวะ พี่แกน่าจะโชว์เทพแล้ว หนังน่าจะเข้าท่าแล้ว อารมณ์หนังสืบสวนผสมตำนานประวัติศาสตร์น่าจะมีบ้างแล้ว” แต่ดันเข้าท่าแค่ฉากเดียว 555)
หนังเขียนบทโดย Eric Aronson ที่เขียนบทหนนี้เป็นครั้งที่ 2 ในชีวิต ครั้งแรกเขียนให้กับหนังเรื่อง On the Line เมื่อปี 2001 (14 ปีล่วงมาแล้ว) ซึ่งเรื่องนั้นก็ไม่ได้มีอะไรให้จดจำนักครับ (นอกจากสาวสวย Emmanuelle Chriqui ที่น่ารักมากๆ) พอมาเรื่องนี้ก็เหมือนกันครับ กราฟความสนุกไม่กระดิกเลย
และที่แปลกใจหนักขึ้นคืองานดนตรีครับ มีน้อยมาก ทั้งที่ในบางช่วงหากใส่เข้ามาล่ะมันอาจช่วยให้หนังครื้นเครง ขึ้น แต่นี่แทบไม่มีเลย ซึ่งคอมโพเซอร์คือ Geoff Zanelli ที่ร่วมงานกับ Koepp มาตั้งแต่ Secret Window ซึ่งเรื่องนั้นดนตรียังมีส่วนช่วยให้หนังหลอน ครั้นมา Ghost Town ดนตรีก็เน้นโทนน่ารักของหนังได้ดีเกินคาด แต่มาเรื่องนี้นี่… งงจริงๆ ครับ ว่ามันเกิดอะไรกันขึ้น
เมื่อดูแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งครับว่าทำไมหนังทุน $60 ล้านเรื่องนี้ถึงทำรายได้ไปแค่ $6 ล้าน (ณ ตอนนี้) ในอเมริกา หรือถ้านับทั่วโลกตอนนี้ก็ได้แค่ $12 ล้านเท่านั้น สรุปว่า “เจ๊งเฮือก” ครับงานนี้
ดูเรื่องนี้แล้วนึกย้อนถึง The Pink Panther กับ Johnny English ครับ 2 เรื่องนั้นดูเพลินและฮากว่าเรื่องนี้มาก เอาเป็นว่าถ้าชอบหนังสไตล์นักสืบเพี้ยนไขคดีและมีลูกน้องผู้ภักดีคอยประกบล่ะก็ 2 เรื่องนั้นเวิร์กกว่ามากครับ
… ไหนๆ พูดถึงแล้วก็ขอต่ออีกนิดครับ ผมว่า 2 เรื่องนั้นมีจุดร่วมที่น่าสนใจประการหนึ่ง นอกจากเนื้อหาที่ดูเป็นเรื่องเป็นราวแล้ว สิ่งที่ทั้ง 2 เรื่องมีคือ ต่อให้ตัวเอกจะเพี้ยนโคตร ซุ่มซ่ามโคตรแค่ไหนก็ตาม แต่จะต้องมีช่วงหนึ่งของหนัง (ประมาณกลาง-ค่อนไปทางท้ายเรื่อง) ที่ตัวเอกทำพลาดอย่างแรง จนโดนตำหนิ โดนปลด หรือไม่ก็หมดกำลังใจจะทำงานต่อ ก่อนที่พล็อตจะกำหนดให้เขาฮึดสู้ ลุกขึ้นมาทำสิ่งที่ถูกต้องอีกครั้ง
ผมว่าจุดนี้สำคัญนะครับ มันทำให้ตัวเอกมีมิติ ทำให้เรารู้สึกอยากเอาใจช่วย และทำให้เราสนุกยามที่ตัวเอกแก้คดีได้สำเร็จ
พูดง่ายๆ คือ “เพี้ยนอย่างเดียว” ไม่ใช่คำตอบครับ มันต้องมีส่วนผสมอื่นใส่ลงไป หนังเรื่องนั้นๆ ถึงจะมีรสชาติออกมากลมกล่อมพอเหมาะ
อีกจุดร่วมหนึ่งคือลูกน้องต้องซื่อโคตรๆ รักนายสุดๆ ซึ่งอย่างน้อยในเรื่องนี้ Bettany ก็เป็นลูกน้องที่เรียกความฮาได้ไม่น้อย (ฮาโดยไม่ต้องเพี้ยนน่ะครับ แค่ทำหน้านิ่งๆ แล้วหาเรื่องกินตับให้เจ้านายอิจฉาเล่นไปเรื่อยๆ 5555)
… เฮ่อ เสียดายเรื่องนี้จริงๆ นะเนี่ย
คะแนนความชอบ = 5/10 ครับ
รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน
ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว The Thing (2011) แหวกมฤตยู อสูรใต้โลก
1929 0https://www.youtube.com/watch?v=UKjErC2JLQc ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด สำหรับ The Thing ฉบับนี้ถือเป็นภาคก่อนหน้าของเหตุการณ์ใน The Thing ปี 1982 ของลุง John Carpenter อันที่จริงตอนแรกก็มีการคิดๆ กันครับว่าจะรีเมคจากฉบับปี 1982 เลยดีไหม แต่ทุกฝ่ายก็เห็นตรงกันในที่สุดครับว่าฉบับปี 1982 มันยอดเยี่ยมมากอยู่แล้ว ดังนั้นการไปรีเมคซ้ำของดีๆ แบบนั้นมันไม่เข้าท่า ถึงกับมีคนเปรียบว่า “เหมือนพยายามเอาสีไปทาทับภาพโมนาลิซ่า” อย่างนั้นเลย ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Doctor Strange (2016) จอมเวทย์มหากาฬ (ตอนที่ 1)
1911 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด คำจำกัดความที่ผมมีให้หนังเรื่องนี้ก็คงเป็นว่า “หนังสนุก เนื้อเรื่องเล่าได้พอเหมาะ แต่อาจจะไม่ได้มันส์ระเบิดระเบ้ออะไร” ว่าง่ายๆ คือถ้าคาดหวังแอ็กชันมันส์ๆ เร้าๆ ล่ะก็ คงต้องขอให้เผื่อใจไว้บ้างครับ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด
รีวิว Batman: The Killing Joke (2016) แบทแมน ตอน โจ๊กเกอร์ ตลกอำมหิต
1974 0ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ว่าตามจริงนี่เป็นการ์ตูน Batman ที่ผมรอดูตั้งแต่มีข่าวว่าจะสร้างแล้วครับ เอาแค่ชื่อก็น่าดูแล้ว และพล็อตยังว่าด้วยเรื่องของโจ๊กเกอร์ในมุมที่เรายังไม่เคยรู้อีกต่างหาก ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด