รีวิว Fright Night (2011) คืนนี้ผีมาตามนัด

รีวิว Fright Night (2011) คืนนี้ผีมาตามนัด

ปก.jpg

Fright Night เวอร์ชั่นต้นฉบับเมื่อปี 1985 นั้นบอกได้เลยครับว่าสนุก ครบเครื่องทั้งความสยองและอารมณ์ขันที่ผสมลงมาแบบพอเหมาะ และที่ต้องยกนิ้วให้อย่างแรงคือการดำเนินเรื่องที่สามารถไต่ระดับความตื่นเต้นได้แบบถึงเครื่อง ดูไปลุ้นไป ยิ่งใกล้จบก็ยิ่งลุ้นว่าเรื่องจะไปทางไหนต่อ จนผมก็ขอยกหนังเรื่องนี้ขึ้นหิ้งให้เป็นหนังแวมไพร์ที่ผมชอบมากอันดับต้นๆ เอามาเปิดดูซ้ำบ่อยเหมือนกัน

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด

ทีนี้พอได้ยินข่าวว่าจะรีเมคก็ห่วงอยู่เหมือนกันครับ ว่าจะออกมาอีท่าไหน ปรากฏว่าพอดูจบแล้วก็ยิ้มได้หายห่วงครับ เพราะหนังออกมาได้สนุกไม่ผิดหวัง เรียกว่าไม่เสียชื่อของเก่า ขณะเดียวกันก็ไม่ได้เอาแต่ของเก่ามาเล่าใหม่อย่างเดียว แต่ยังมีการสร้างสรรค์สไตล์ของตัวเอง ใส่ความร่วมสมัยลงไป ทำให้ Fright Night ฉบับนี้ดีน้องๆ ของเก่าเลยล่ะครับ

หนังปรับบทให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้ดี โครงหลักยังคงเป็น Fright Night ที่ว่าด้วยเด็กหนุ่มนาม ชาร์ลี บริวสเตอร์ (Anton Yelchin) ที่ดันไปรู้ว่าคนข้างบ้านคือแวมไพร์สุดร้ายกาจ เจอร์รี แดนดริจ (Colin Farrell) แต่ก็ไม่มีใครเชื่อ ขณะเดียวกันมันก็ฆ่าคนรอบตัวเขาไปเรื่อยๆ จนชาร์ลีต้องไปตามนักแสดงผู้เชี่ยวชาญด้านแวมไพร์อย่าง ปีเตอร์ วินเซนต์ (David Tennant) มาช่วยต่อกรกับแวมไพร์ตัวร้ายก่อนมันจะเล่นงานแม่ (Toni Collette) และ เอมี่ (Imogen Poots) แฟนสุดสวยของเขา

จุดเด็ดของเวอร์ชั่นนี้คือการเพิ่มมิติของตัวละครลงไปครับ ทำให้พวกเขามีเลือดมีเนื้อ ไม่ได้เป็นแค่คนเดินไปเดินมาผ่านหน้าจอแบบหนังสยองวัยรุ่นทั่วๆ ไป แล้วหนังยังใส่ “ปมวัยรุ่น” ลงไปเป็นชูรสเพิ่มมิติให้หนัง อย่างการเปลี่ยนตัวเองของชาร์ลีจากเด็กเนิร์ดไปเป็นหนุ่มตามกระแส เพื่อให้สาวมาสน แต่การตัดสินใจเช่นนั้นของชาร์ลีก็ทำให้เขาต้องตีตัวออกห่างจากเพื่อนซี้อย่าง เอ็ด (Christopher Mintz-Plasse) ที่ยังคงเนิร์ดเสมอต้นเสมอปลาย อะไรพวกนี้ล่ะครับที่สะท้อนชีวิตวัยรุ่นได้อย่างน่าสนใจ อันนี้ก็คิดเอาไว้แล้วล่ะครับว่าคงต้องมี ก็คนกำกับคือ Craig Gillespie แห่ง Lars and the Real Girl นี่ครับ ไม่มีปมชีวิตผสมก็แปลกล่ะ (ซึ่ง Farrell เองก็บอกว่า ที่เขาสนใจมาแสดงในหนังเรื่องนี้ก็เพราะอยากร่วมงานกับ Gillespie นี่แหละ)

001

แล้วที่ผมชอบมากๆ ต้องยกให้ การเพิ่มประเด็นความสัมพันธ์ตัวละครลงไป ไม่ว่าจะตัวเอ็ด หรือ ดอริส (Emily Montague) สาวสวยแถวบ้าน อะไรพวกนี้ทำให้ตัวชาร์ลีมีมิติมากขึ้น มีแรงจูงใจในการตามหาความจริงและซัดกับเจอร์รี่มากขึ้น หลายซีนทีเดียวครับที่พี่แกดูเป็นฮีโร่ไปเลย

ยอมรับครับว่าผมมีอคติเล็กๆ ตอนรู้ว่าบทปีเตอร์ วินเซนต์ถูกปรับให้หนุ่มขึ้น และแทนที่จะเป็นนักแสดงหนังแวมไพร์สไตล์โกธิคที่ตกงาน กลับกลายเป็นนักแสดงมายากลขี้เมาแทน แต่ก็ยังไว้ใจ David Tennant ดาราที่ผมชอบตั้งแต่ Harry Potter and The Goblet of Fire แล้วก็ซีรี่ส์ Doctor Who และพอได้ชมก็จัดว่าพี่ท่านทำได้ดีในแบบของตัวเองครับ อาจจะไม่เด่นเท่าที่คาด แต่ก็เรียกเสียงฮาได้ในระดับหนึ่ง เอาแค่ฉากเกาเป้านั่นก็จัดว่ากล้าเล่นพอตัวล่ะครับ

ส่วน เจอร์รี่แวมไพร์ร้าย เวอร์ชั่นนี้ดูฉลาด จิตวิทยาสูง เอาแค่ฉากที่เขาหว่านล้อมเอ็ดนั่นก็สุดยอดแล้วครับ (อย่าว่าแต่เอ็ดจะหลงลมเลย ขนาดคนดูยังจะเคลิ้มตามเลยน่ะ) ตามด้วยเสน่ห์ร้ายกาจ เท่ห์ปนเถื่อน ผสมด้วยลีลาขี้เล่น (แบบโหดๆ) สไตล์เจอร์รี่คนเก่า ซึ่งเหมาะกับบุคลิกของ Farrrell ดีครับ แต่ถ้าให้เทียบถึงความขลัง ความดูมีอำนาจแล้วก็ต้องบอกว่าเจอร์รี่ฉบับนี้ยังไม่เฉียบเท่าของเก่า ซึ่งหนังก็แอบเชิญ Chris Sarandon ดาราที่แสดงเป็นเจอร์รี่คนเก่ามาให้เจอร์รี่คนใหม่แทะเล่นด้วยครับ ลองไปสังเกตกันดูในฉากที่เจอร์รี่ไล่ล่าพวกชาร์ลีบนถนนน่ะครับ คนขับรถคนนั้นแหละ อดีตเจอร์รี่ล่ะ

ผมชอบที่หนังไม่พยายามอืดเอื่อยกับมุข “ไม่มีใครเชื่อชาร์ลี” ให้นานนัก โดยการให้เจอร์รี่จัดหนักล่าเต็มพิกัดไปเลย ช่วยให้หนังน่าติดตามตลอดครับ ไม่มีจังหวะให้อืดเอื่อย เพราะหนังทิ้งปมทิ้งเรื่องให้คนดูตามตลอด พอปมเฉลยก็กระหน่ำแอ็คชั่น พอแผ่วแอ็คชั่นก็ต่อด้วยฉากตื่นเต้นปนสยอง ดึงให้ดูแบบต่อเนื่องกันไป

002

ถ้าจะให้บอกว่าฉบับไหนดีกว่ากัน ก็คงต้องบอกว่าผมชอบของเก่ามากกว่านิดนึงครับ เพราะของเก่านั้นตัวละครปีเตอร์ วินเซนต์ชูรสได้มากกว่า ทั้งขี้ตื่นแบบน่ารัก และตอนแสดงอารมณ์ก็เล่นเอาอึ้งไปเหมือนกัน อีกทั้งช่วงท้ายยังจัดหนักได้ลุ้นกว่า แต่ของใหม่ก็มีดีในส่วนการเดินเรื่อง เรื่องมิติตัวละคร จะมีแพ้หน่อยก็ตรงตอนท้ายที่ไม่ลุ้นเท่าน่ะครับ ออกจะมาเร็วปราบเร็วไปสักหน่อย น่าจะลากให้ลุ้นกว่านี้อีกสักนิด

มีเกร็ดน่ารู้อยู่อย่างหนึ่งนะครับ นั่นคือบทแวมไพร์เจอร์รี่จอมวายร้ายนั้น แรกเริ่มคนที่จะมาเล่นไม่ใช่ Farrell นะครับ แต่เป็น Heath Ledger ใช่ครับ เดอะ โจ๊กเกอร์แห่ง The Dark Knight นั่นแหละครับ มีการทาบทามไว้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ ก็น่าเสียดายเหมือนกัน อยากเห็นนะครับว่าเขาจะสวมบทแวมไพร์วายร้ายทรงเสน่ห์นี้ได้เท่ห์แค่ไหน

สรุปว่าหนังเรื่องนี้ก็จัดว่าสนุกครับ เป็นหนังแวมไพร์ที่อร่อยทีเดียว เสียดายเหมือนกันที่รายได้ไปไม่ค่อยไกลเท่าไร (ทุน 30 ล้าน ทำไปแค่ 41 ล้านจากทั่วโลกน่ะครับ) แต่อย่าดูเฉพาะที่รายได้ครับ เพราะหนังน่ะมีดี คุ้มค่าแก่การดู
คะแนนความชอบ = 7.5/10 ครับ

รีวิวโดย ขุนหมื่นแสนสะท้าน

ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

Similar Videos

รีวิว The LEGO Ninjago Movie (2017) เดอะ เลโก้ นินจาโก มูฟวี่

2326 0

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ยอมรับว่าผมไม่คุ้นกับซีรี่ส์ชุดนี้เลยครับ แม้จะเห็นมีฉายทาง Mono29 ก็เถอะ แต่มันไม่แนวจริงๆ สงสัยเลยวัยเลยมั้ง (555) เคยพยายามดูเอาขำ มันก็พอขำครับ แต่ก็ไม่ได้ติดหรืออยากติดตามอะไร ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิว Red 2 (2013) คนอึดต้องกลับมาอึด 2

20267 4

ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด การรีวิวหนังเรื่องนี้จริงๆ ทำได้ง่ายมากครับ แค่ผมไป Copy รีวิวภาคแรกมาPaste ลง แล้วลบชื่อ Morgan Freeman กับ Karl Urban ออก ก็จะได้แล้วครับ รีวิว Red ภาค 2 ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด

รีวิวซีรี่ส์ Luke Cage ปี 1 (2016)

2736 0

https://www.youtube.com/watch?v=ytkjQvSk2VA ทางเข้าดูหนังออนไลน์ฟรี 👉 Hopsmovie.com 👈 เว็บดูหนังฟรีที่มีหนังให้เลือกดูมากที่สุด ถ้าเว้ากันซื่อๆ ก็คงต้องบอกว่าสปีดในการดู Luke Cage ของผมนั้นค่อนข้างช้าถึงช้ามากเมื่อเทียบกับ DareDevil หรือ Jessica Jones ที่ผมเอามาดูต่อกันยาวๆ แบบหยุดไม่ได้ คือมันรู้สึกอยากติดตามไปจนจบน่ะครับ ทางเข้าดูการ์ตูนออนไลน์ฟรี 👉 AnimeHaku.com 👈 เว็บดูอนิเมะ มีการ์ตูนพากษ์ไทยเยอะที่สุด